หน้าแรก
ร้านวรันณ์ธรจำหน่ายพระเครื่อง เหล็กน้ำพี้ ดาบเหล็กน้ำพี้ มีดเหล็กน้ำพี้ มีดหมอเหล็กน้ำพี้ เหล็กไหล เหล็กไหล7สี ไหลดำ ไหลเขียว ของเสน่ห์ ของเสน่ห์แรงๆ
ของเสน่ห์เขมร แก้วขนเหล็ก แก้วโป่งข่าม เพชรหน้าทั่ง ไม้งิ้วดำ ไม้พญางิ้วดำ ไม้กลายเป็นหิน ข้าวตอกพระร่วง พระเหล็กน้ำพี้ พระแร่เหล็กน้ำพี้ และเครื่องรางของขลังอีกมากมาย
รับสาย 8.00น. - 20.00 น. โทร
084-8038208 คุณภัส
รับสาย
เช้า 9.00น.-16.00น.เช้า-เย็นโทร
087-7399336 , 089-8608818 , 087-8452061
สนใจสั่งทางไลน์ไอดี @line55  (มี@ด้วย) สนใจสั่งทางไลน์ คลิกที่นี่ >>> http://line.me/ti/p/%40line55



@line55

เศียรฤาษีตาไฟ แร่น้ำพี้

 
ฤาษีตาไฟ เศียรฤาษีตาไฟ
หล่อจากแร่ศักดิ์สิทธิ์แร่น้ำพี้ จ.อุตรดิตถ์
 
 สูง 2 นิ้ว กว้าง 1 นิ้วครึ่ง สีน้ำตาล / สีดำ

เศียรฤาษีตาไฟเศียรละ  89 บาท

 
ประวัติฤาษีตาไฟ ตำนานฤาษีตาไฟ เรื่องเล่าต่างๆของฤาษีตาไฟ
 
ตำนานการสร้างบ้านแปลงเมืองของจังหวัด เพชรบูรณ์
           มีเรื่องเล่าว่า กษัตริย์เมืองเพชรบูรณ์ได้ร่ำเรียนวิชากับฤาษีตาไฟ แต่ภายหลังคิดฆ่าอาจารย์ตัวเอง ในที่สุดอาจารย์คือพระฤาษีตาไฟ จึงได้ ทำการสาปเมือง จนทำให้บ้านเมืองเกิดโรคระบาดกลายเป็นเมืองร้างไปในที่สุด นอกจากนี้ยังพบว่า มีการปรากฏถึงชื่อพระฤาษีตาไฟในอีกหลายตำนาน เช่น ตำนานการสร้างพระท่ากระดาน ที่เชื่อกันว่าพระท่ากระดานเมืองกาญจนบุรี ผู้ที่สร้างคือพระฤาษีตาไฟ และปรากฏเป็นสักญลักษณ์ไว้ที่องค์พระอย่างหนึ่งคือ ลักษณะของพระเนตรของพระท่ากระดานมักจะมีสีแดง เกศคด บางองค์พระพักตร์ค่อนออกไปทางพระฤาษีด้วยซ้ำ
          นอกจากนี้ตำนานการสร้างพระซุ้มกอ ก็ปรากฏนามพระฤาษีตาไฟอีกเช่นกัน โดยกล่าวว่า เมื่อทำการสร้างพระซุ้มกอนั้น มีพระฤาษี 4 องค์ เป็นประธานในการสร้าง คือ 1.พระฤาษีพิลาไลย 2.พระฤาษีตาไฟ 3.พระฤาษีนารอท 4.พระฤาษีไกยโกษฐ์  ทั้ง 4 องค์นี้เป็นประธานในการสร้างพระซุ้มกอ ซึ่งมาถึงปัจจุบันนี้พระซุ้มกอจัดเป็นหนึ่งในพระเบญจภาคี ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 1 พันปีมาแล้ว จะเห็นได้ว่านามของพระฤาษีตาไฟนั้น ปรากฏอยู่ในหลายตำนานและค่อนข้างเป็นรูปธรรมหรือหลักฐานชัดเจน ยิ่งขึ้นเมืองมีหลักฐานเป็นลายลักษณ์เกี่ยวกับการสร้างพระกรุเอาไว้ แสดงให้เห็นเป็นหลักฐานไว้ว่า -   พระฤาษีตาไฟนั้นมีตัวตนอยู่จริงและอยู่ในสมัยไม่ต่ำกว่า 1 พันปีมาแล้ว
          เนื่องจากหลักฐานการสร้างพระซุ้มกอที่ระบุเอาไว้ อย่างน้อยที่สุด พระซุ้มกอ ก็มีอายุไม่ต่ำกว่าพันปี ดังนั้นเรื่องราวของพระฤาษีตาไฟ ก็ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าพันปีเช่นเดียวกับพระซุ้มกอ - พระฤาษีตาไฟ ย่อมต้องเป็นบุคคลสำคัญเนื่องจากการสร้างพระซุ้มกอนั้นเชื่อว่าเป็นการสร้างพระที่มีพิธีใหญ่พอสมควร และน่าจะเป็นพิธีหลวงเนื่องจากลวดลายของพระซุ้มกอ ที่ปรากฏเป็นหลักฐานนั้นมีความวิจิตรสวยงามอย่างยิ่ง ที่ควรพิจารณา คือ พระฤาษีและผู้ที่ร่วมกันสร้างนั้นคงมีมากเป็นร้อยเป็นพัน แต่บุคคลที่ได้รับคัดเลือกเป็นประธานมีเพียงพระฤาษี 4 ท่านเท่านั้น และ พระฤาษีตาไฟก็เป็นหนึ่งในสี่พระองค์ ดังนั้นความสำคัญของพระฤาษีตาไฟ จึงไม่ธรรมดา - พระฤาษีตาไฟ คือ พระฤาษีที่นับถือพระพุทธศาสนา เนื่องจากการสร้างพระซุ้มกอนั้นเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตรง การสร้างพระบรรจุกรุสมัยก่อนก็เพื่อเป็นการสืบอายุพระพุทธศาสนา ดังนั้นเมื่องานของพระพุทธศาสนาอย่างการสร้างพระซุ้มกอมีพระฤาษีเข้ามาร่วมด้วย ก็ย่อมแสดงว่าอย่างน้อยที่สุด ท่านย่อมมีความเคารพในพระพุทธศาสนาด้วยอย่างแน่แท้
 
 ตำนานพระฤาษีตาไฟ จากเรื่องเมืองศรีเทพ
           ที่เมืองศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ก็มีตำนานเรื่องการสร้างบ้านแปงเมือง และการล่มของเมือง อันมีความเกี่ยวข้องกับพระฤาษีตาไฟอย่างน่าสนใจ โดยตำนานเมืองศรีเทพเล่าว่า แต่เดิมกษัตริย์เมืองศรีเทพนั้นเป็นลูกศิษย์ของพระฤาษีตาไฟ ร่ำเรียนวิชาความรู้ทุกอย่างจนพระฤาษีตาไฟมีความไว้วางใจเป็นอย่างมาก กระทั่งในที่สุดได้พาไปดูของวิเศษภายในถ้ำ ซึ่งไม่มีใครได้พบได้เห็นมาก่อน ภายในภพลึกของพระฤาษีตาไฟ ที่ใช้บำเพ็ญสมาธิญานมานานแสนนานนั้นได้ซ่อนบ่อวิเศษไว้สองบ่อ บ่อหนึ่ง หากใครลงไปจนตายเหลือแต่ซากกระดูก ส่วนอีกบ่อหนึ่งนั้นเป็นบ่อวิเศษ หากใครลงไปชุบตัวจะเป็นทอง
          แม้ว่าเอาซากที่ตายแล้วมาชุบก็จะกลับมีชีวิตขึ้นมาอีก พระฤาษีตาไฟใคร่จะลองทดลองให้ศิษย์ดูก็กำชับว่า เมื่อตนลงบ่อแรก จะตายกลายเป็นซากศพ เหลือแต่โครงกระดูก ให้เอาโครงกระดูกของตนไปชุบอีกบ่อหนึ่ง อาจารย์ก็จะฟื้นขึ้นมา หลังจากที่กำชับแล้ว พระฤาษีตาไฟก็ลงไปในบ่อแรก ฉับพลันทันใดร่างของพระฤาษีตาไฟก็มอดไหม้เหลือแต่โครงกระดูกจริงๆ ดังว่า แต่แล้วลูกศิษย์ที่รักของพระฤาษีตาไฟ หลังจากเห็นอาจารย์กลายเป็นซากศพไปแล้ว ก็หาช่วยเหลือไม่ รีบเก็บข้าวของสำคัญหนีกลับเมืองเสียเฉยๆ เพราะคิดไปว่าเมื่อสิ้นอาจารย์ไปแล้ว ตนย่อมเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ไม่มีใครทำอะไรตนได้ ไม่ต้องหวาดกลัว หรือเกรงใจผู้ใดอีกต่อไป
          ในการต่อมาเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พระฤาษีตาวัว ผู้เป็นสหายสนิท ของพระฤาษีตาไฟ รำถึงเหตุไฉนจึงไม่ได้รับการติดต่อจากพระฤาษีตาไฟเลย ไม่เคยขาดหายไปนานเช่นนี้หรือจะมีเรื่องผิดปกติ อาจมีเรื่องร้ายอย่างหนึ่ง อย่างใดเกิดขึ้น กับพระฤาษีตาไฟ ผู้เป็นสหายก็เป็นได้ เมื่อพิจารณาได้เช่นนัน พระฤาษีตาวัวจึงเหาะไปด้วยกำลังฤทธิ์เข้าสู่ถ้ำเคหาของพระฤาษีตาไฟ เมื่อเดินสำรวจลึกลงไปในถ้ำจึงพบซากศพของพระฤาษีตาไฟ อยู่ข้างบ่อน้ำทิพย์น้ำกรด เมื่อเห็นดังนั้นก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น พระฤาษีตาวัว จึงนำซากศพของพระฤาษีตาไฟชุบยังบ่อน้ำทิพย์ให้มีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพระฤาษีตาไฟมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งจึงเล่าความทั้งหมดให้พระฤาษีตาวัวฟัง พร้อมทั้งเจ็บแค้นใจที่ลูกศิษย์อันเป็นที่รักของตนคิดทรยศจึงถึงกับทำลายชีวิตของตน
          เมื่อคิดดังนั้นจึงวางอุบายเสกวัวตัวหนึ่งขึ้นมาภายในบรรจุพิษร้ายกาจต่างๆ ไว้จำนวนมาก พระฤาษีตาไฟร่ายเวทปล่อยวัวอ้วนพีตัวนี้เข้าไปในเมือง โดยที่คนในเมืองก็ไม่มีใครรู้เลยว่าภายในท้องวัวตัวนี้มีอะไรซ่อนอยู่ หลังจากค่ำลงเมื่อปิดประตุเมืองแล้ว วัวดังกล่าวก็ร้องด้วยเสียงอันดังที่สุด ทันใดนั้นท้องของวัวอาคมก็ระเบิดออก พิษอันร้ายกาจได้กระจายออกจากท้องวัวไปทั่วทั้งเมือง เจ้าเมืองที่เป็นลูกศิษย์ของพระฤาษีตาไฟ ก็รู้ได้ทันทีว่าพระอาจารย์ของตนฟื้นแล้ว และบัดนี้กรรมที่ตนก่อก็ตามมาทันแต่นั่นก็สายไปเสียแล้ว เพราะตนเองก็สูดเอาพิษเข้าไปสุดท้ายคนทั้งเมืองก็ล้มตาย เมืองศรีเทพจึงกลายเป็นเมืองร้าง แต่นั้นมา นี่คืออีกหนึ่งตำนาน การสร้างบ้านแปงเมือง และการล่มของเมืองที่มีปรากฏ ชื่อพระฤาษีตาไฟอยู่ด้วยจึงเป็นหลักฐานที่ชวนพิจารณาว่าพระฤาษีตาไฟนี้ อาจจะมีอยู่จริงๆ ในประวัติศาสตร์ก็ได้หามีแต่ชื่ออยู่ในตำนานไม่
          จากการพิจารณาตามหลักฐานของประวัติศาสตร์ดังนี้แล้ว ก็พอเห็นได้ว่าพระฤาษีตาไฟ ไม่ใช่นักไสยศาสตร์พื้นบ้านทั่วไป หากเป็นบุคคล ที่เชื่อถือได้ว่าเป็นทรงศีลทรงธรรม เคร่งครัดในฌานสมาบัติ แต่ก็ดุด้วยเช่นกัน และเป็นที่เคารพของกลุ่มชนมาแต่โบราณ ทั้งยังเป็นพระฤาษีที่ ศรัทธาอยู่ในบวรพระพุทธศาสนาด้วย ตามปกติทั่วไปแล้วพระฤาษีย่อมนับถือตามข้างลัทธิพราหมณ์มากกว่าพุทธ แต่อย่างไรก็ตาม พอสรุปได้ว่า ด้วยเหตุที่ศาสนาพุทธเราเองก็เป็นศาสนาที่มีแนวทางการสอนคล้ายกับศาสนาพราหมณ์ คือนับถือเรื่องการบำเพ็ญทางจิต ดังนั้นฤาษีทั้งหลาย จึงมีการนับถือพระพุทธเจ้ารวมไปกับการนับถือพระพรหม พระศิวะ และ พระนารายณ์ มีการบำเพ็ญทางกสิณอภิญญา และมีการพิจารณาตามไตรลักษณ์ไปพร้อมๆ กัน จึงเห็นได้ว่าพระฤาษีคือกลุ่มบุคคลที่ทำการขัดเกลาจิตใจตนเอง เพียงแต่ไม่ได้บวชเป็นสงฆ์เท่านั้น และพระฤาษีเหล่านี้ยังมีบทบาทในด้านพิธีกรรมเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนามาแต่โบราณ และทำให้เรารู้อีกว่าการนับถือ พระฤาษีและพระสงฆ์ในสุวรรณภูมินั้นได้มีการนับถือควบคู่กันมาอย่างไม่มีการขัดแย้ง มาเป็นเวลานานนับพันปีมาแล้ว ดังนั้นในรุ่นเราการนับถือพระฤาษีก็น่าจะถือว่าเป็นการนับถือสิ่งสักการะอันเป็นมงคล เป็นการสืบความเชื่อมาจากบรรพบุรุษของเรานั่นเอง
 
 ภาคหนึ่งของพระศิวะ
           ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า การสร้างรูปเคารพของพระฤาษีตาไฟนั้น มักปรากฏเป็นพระฤาษีที่มีสามตา โดยมีตาที่สามกลางหน้าผาก ตามตำนาน กล่าวไว้ว่า ตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ลืมขึ้นเมื่อใดจะบังเกิดเป็นไฟประลัยกัลป์ขึ้นเมื่อนั้น ลักษณะของตาที่สามของพระฤาษีตาไฟนี้ ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่มีบุญ และมีตบะญาณที่แก่กล้า ตามคติทางพราหมณ์ และพุทธนั้นกล่าวว่าบุคคลที่ได้บำเพ็ญเพียรทางจิตมาหลายร้อยหลายพันชาติ เป็นอนันตชาตินั้น เมื่อบังเกิดขึ้นมาในภพชาติปัจจุบัน จะมีสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นผู้มีบุญเกิดขึ้นกับร่างกายหลายอย่าง และ อย่างหนึ่งก็คือการมีอุณาโลมที่กลางหน้าผาก อุณาโลมกลางหน้าผากนี้กับภาวะตาที่สามเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน เพราะถือว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งตาที่สามหรือดวงตาแห่งเทพเจ้า หรือการเข้าสู่สภาวะการณ์หยั่งรู้ที่ลึกซึ้งในด้านจิตวิญญาณ และมีความเชื่อว่า พระฤาษีตาไฟนั้นน่าจะเป็นอวตาร หรือส่วนหนึ่งของพลังแห่งพระเป็นเจ้าที่ลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อทำหน้าที่เป็นคุรุทางจิตผู้ยิ่งใหญท่านหนึ่งของประวัติศาสตร์ และหากพิจารณาแล้วก็น่าจะเชื่อได้ว่าพระฤาษีตาไฟนั้นคือการอวตารส่วนหนึ่งของพระศิวะ หรือ พระอิศวรนั่นเอง
พระอิศวรหรือพระศิวะ ถือว่าเป็นพระเป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่านหนึ่ง ตามตำนานกล่าวว่าพระองค์ทรงมีสามตา โดยตาที่สามของพระองค์นั้น อยู่กลางหน้าผากดุจเดียวกับพระฤาษีตาไฟ และที่เหมือนกันอีกประการหนึ่งคือ เมื่อใดกตามที่พระอิศวรทรงลืมพระเนตรขึ้น เมื่อนั้นย่อมบังเกิดไฟประลัยกัลป์ขึ้นมา ความเหมือนกัน โดยบังเอิญของตำนานระหว่างพระอิศวรและพระฤาษีตาไฟที่พ้องกันเช่นนี้ทำให้เชื่อได้ว่าท่านทั้งสองคือ พระฤาษีตาไฟ และพระอิศวรย่อมมีความเกี่ยวพันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และพอเชื่อได้ว่าพระฤาษีตาไฟแท้จริงแล้วก็เป็นภาคหนึ่งของพระอิศวร หรือ พระอิศวรเจ้านั่นเอง
 
 สูงสุดคือพระอิศวร
         ในหมู่บรรดาฤาษีโยคีทั้งปวงแล้ว ต้องนับถือว่าพระอิศวรหรือพระศิวะ เป็นใหญ่สูงสุด เพราะพระอิศวรหรือพระศิวะนั้นแท้จริง แล้วคือบรมโยคี หรือมหาโยคี เป็นเทพพรหมฤาษี ที่ทรงตบะสูงสุด ทั้งนี้ฤาษีทั้งหลาย ย่อมบูชาโดยตรงต่อองค์พระศิวะ ด้วยกันทั้งสิ้นและนับถือกันว่าพระศิวะนี้ คือ พระเป็นเจ้า พระศิวะนี้คือต้นตอแห่งฤาษีทั้งหลาย การบำเพ็ญทั้งหลาย ของฤาษีโยคีย่อมมุ่งตรงต่อพระศิวะทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้พระฤาษีตาไฟ พระฤาษีตรีเนตร และ พระฤาษีอิศวร ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือท่านเดียวกัน ย่อมมีฐานะเป็นฤาษีสูงสุดเป็นเจ้าแห่งฤาษีทั้งปวง และย่อมเป็นประธานแห่งฤาษีทั้งหลายด้วย
 
 หนึ่งในสี่ของธาตุแม่
           นอกจากการอวตารของพระศิวะเจ้าแล้ว เรื่องของพระฤาษีตาไฟ เป็นตำนานที่เกี่ยวข้องกับแม่ธาตุทั้งสี่ ดังในคำโองการทางไสยศาสาตร์ที่มี ข้อความว่า พระฤาษีตนหนึ่งทรงกสิณอภิญญาตาเป็นไฟ องค์หนึ่งลม หายใจเป็นประลัยดั่งพิษนาค องค์หนึ่งน้ำลายคายออกจากปากเป็นน้ำกรด องค์หนึ่งเล็บหยิกจิกจรด คมดั่งจักรเจ็บทุกเส้นขน หากเราพิจารณาจะเห็นได้ว่า องค์หนึ่งมีตบะฌานแก่กล้าทางไฟ องค์หนึ่งทางลม (ลมหายใจ) องค์หนึ่งทางน้ำ (น้ำลาย) และองค์ที่ใช้เล็บก็หมายถึงธาตุดิน ดังนั้นพระฤาษีตาไฟก็ย่อมเป็นตัวแทนของธาตุไฟตามตำราทางไสยศาสตร์ ด้วยและเมื่อเราค้นคว้าการทำพิธีทางไสยศาสตร์หรือทางศิวะศาสตย์โบราณ ไม่ว่าของทางพราหมณ์ หรือไปดูอย่างทางซีกตะวันออกไกลอย่างอิหร่าน อาหรับ หรือการทำเวทมนต์ของพ่อมดแม่มดในทางตะวันตก จะเห็นได้ว่าการทำพิธีที่สำคัญ หรือการเชื้อเชิญพลังงานที่มีอานุภาพสูงส่งจากอีกมิติหนึ่งนั้นต้องมีผู้ร่วมพิธีอย่างน้อย 4 คน จึงสามารถทำพิธีได้ โดย แต่ละคนต้องเป็นตัวแทนของแต่ละธาตุ หากในกรณีนี้เราถือว่าพระฤาษีตาไฟ คือ การอวตารลงมาของแม่ธาตุไฟ ก็ไม่ผิดนัก หรือจะกล่าวได้ว่า พระอิศวร หรือ พระศิวะเจ้า พระองค์เป็นตัวแทนแห่งแสงสว่างธาตุไฟ (คำว่าศิวะ และแสงสว่าง) พระองค์ทรงแบ่งกำลังส่วนหนึ่งลงมาอวตาร เป็นพระฤาษีตาไฟนั่นเอง
 
 ตำนานพระกบิลฤาษี
           นอกจากนี้เรื่องราวของพระฤาษีตาไฟ ยังหมายรวมถึงพระฤาษี หรือ โยคีที่สำเร็จกสิณไฟ ได้อภิญญาสมาบัติ มีฤทธิ์อำนาจทางจิตสูง อย่างเรื่องของ "กบิลฤาษี" ที่นั่งสมาธิภาวนาสำเร็จกสิณอภิญญาเมื่อลืมตาขึ้นมาก็บังเกิดไฟ สามารถสังหารหมู่ศัตรู ทั้งหลายให้พินาศลงไปได้
 
ฤาษีตาไฟ หัวฤาษีตาไฟ หล่อจากแร่ศักดิ์สิทธิ์ แร่เหล็กน้ำพี้ จ.อุตรดิตถ์
 
บูชาฤาษีตาไฟ เศียรฤาษีตาไฟ ของร้านวรันณ์ธรนี้ สร้างจากมวลสาร 9 อย่าง ของขลังหายากมีให้บูชาที่ร้านวรันณ์ธร แห่งเดียวใน จ.อุตรดิตถ์

1. หินเพชรเงินทองนาค
ความเชื่อให้โชคลาภร่ำรวยเงินทอง

2. ไม้พญางิ้วดำ
ความเชื่อเด่นทางด้านมหาอุดคงกระพัน
คลาดแคล้วโชคลาภเมตตามหานิยมป้องกันคุณไสย์มนต์ดำ
3. ไม้กลายเป็นหิน ความเชื่อ มีตบะเดชะทางด้านอำนาจ แคล้วคลาด
ปลอดภัย ความเมตตา และโชคลาภ
4. เพชรหน้าทั่ง ความเชื่อให้โชคลาภเด่นทางค้าขายป้องกันภัยต่างๆ
5. แก้วโป่งข่าม ความเชื่อป้องกันภัยคุณไสย์มนต์ดำเปลี่ยนจากสิ่งร้ายกลายเป็นดี
6. แร่ดูดทรัพย์ ความเชื่อดูดโชคลาภทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวยมาให้แก่ผู้ครอบครอง
7. ไหลดำไหลเขียว ความเชื่อพลิกจากร้ายกลายเป็นดีความเจริญมั่นคงก้าวหน้า
ดูดพิษแมลงได้ แก้ของร้อนเป็นสิริมงคลแก่ผู้ครอบครอง
8. รังปลวกกลายเป็นหิน ความเชื่อให้คุณทางด้านสะสมทรัพย์สินเงินทองให้พอกพูนขึ้น
9. แร่น้ำพี้ ความเชื่อล้างอาถรรพ์ป้องกันภูตผีปีศาจมนต์ดำต่างๆ
 
 
ต้องการบูชาฤาษีตาไฟ เศียรฤาษีตาไฟ
สีใด โปรดระบุ คลิกที่นี่



@line55