แหล่งแร่เหล็กน้ำพี้ บ่อพระแสง บ่อพระขรรค์

บ่อเหล็กน้ำพี้ อยู่ที่หมู่ 1 บ้านน้ำพี้ ตำบลน้ำพี้ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 56 กิโล- เมตร (จากตัวจังหวัดถึงอำเภอ 42กิโลเมตรและจากอำเภอถึงที่ตั้ง14กิโลเมตร)ตามเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข11และเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข1245 มีอีกเส้นทางหนึ่งจาก อำเภอเมืองไปตำบลน้ำพี้เลย ลัดไปทางบ้านป่าขนุน ใช้ระยะทางการเดินทางจากตัวเมืองถึง บ่อน้ำพี้เพียง 34 กิโลเมตร บ่อเหล็กน้ำพี้เป็นบ่อเหล็กกล้ามีอยู่ด้วยกันหลายบ่อแต่เท่าที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนมีอยู่ 2บ่อคือ บ่อพระแสง และ บ่อพระขรรค์ โดยบ่อพระแสงจะเป็นบ่อที่มีเนื้อเหล็กดีกว่าบ่ออื่น
ในสมัยโบราณนายช่างผู้สร้างพระแสงดาบถวายพระมหากษัตริย์ จะนำเอาเหล็กน้ำพี้ที่บริเวณบ่อพระแสงไปถลุงทำพระแสงดาบ จึงเรียกว่า บ่อพระแสง ส่วนบ่อพระขรรค์ เข้าใจว่าเป็นบ่อที่นำเอาเหล็กจากบริเวณนี้ไปถลุงทำพระขรรค์ จึงเรียกว่า บ่อพระขรรค์ ห้ามมิให้ผู้ใดขุดเหล็กจากบ่อนี้สงวนไว้ใช้ในการทำพระแสงดาบสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น
มีรายละเอียดดาบซามูไรให้อ่านกัน เพลิน ๆ ครับ
ดาบซามูไร ตำนานของอาวุธสังหาร และงานศิลปะ
ภายใต้ความประณีตผสมผสานเนื้อเหล็กชั้นดี และวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณราวหนึ่งพันปีเศษ ทำให้ดาบญี่ปุ่นได้ชื่อว่าเป็นอาวุธที่ร้ายแรงที่สุดเหนือกว่าดาบของชนชาติอื่นๆ อย่างสิ้นเชิงราวพันปีก่อนช่างตีดาบเขาผลิตดาบเนื้อดีแข็งแกร่งและคมอย่างมีดโกนได้อย่างไรภายใต้อาวุธสังหารอันคมกริบ ดาบซามูไรก็เป็นงานศิลปะชั้นยอด เป็นของที่มีค่าและวิธีการตีดาบซามูไรยังเป็นศาสตร์ที่สูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อคนไทยเริ่มรู้จักดาบซามูไรเมื่อติดต่อค้าขายกับญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยอยุธยา สงครามโลกครั้งที่สอง...ดาบซามูไรเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทหารญี่ปุ่นใช้ตัดหัวเชลยศึกขาด...ได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวและทำให้ดาบซามูไรเริ่มรู้จักกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา และแทบไม่น่าเชื่อว่า...ยุคทองของดาบซามูไรนั้นมีมานานกว่า ๗๐๐ ปี ถือเป็นยุคที่ดาบมีคุณภาพดีที่สุดเหนือกว่ายุคใดๆ ของดาบญี่ปุ่น
ซามูไร (Samurai) คือนักรบหรือมีความหมายว่าผู้รับใช้ ดาบคู่กายซามูไรเปรียบเหมือนจิตวิญญาณของซามูไรทุกคน หากซามูไรลืมดาบ...เท่ากับว่านำตนเองไปสู่ความตายได้ทุกเมื่อ ลัทธิ บูชิโด สอนให้เหล่าซามูไรยึดมั่นในความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่และจงรักภักดีต่อเจ้านายของตน ซามูไรถือว่าความตายเป็นเรื่องเล็กน้อย ปรัชญาแห่งบูชิโดกล่าวไว้ว่า ความตายเป็นสิ่งเบาบางยิ่งกว่าขนนก ชาวญี่ปุ่นโบราณยกย่องชาวนาและช่างฝีมือเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ ช่างตีดาบ เดิมนักรบชาวญี่ปุ่นใช้ดาบจากจีนและเกาหลีในการสู้รบ ในสมัย นาร่า (Nara Period) ประมาณปี พ.ศ. ๑๑๙๓-๑๓๓๖ หรือประมาณ ๑,๓๐๐ ปีเศษล่วงมาแล้ว ปัญหาที่ตามมาคือเวลาสู้รบดาบมักหักออกเป็นสองท่อนจักรพรรดิจึงสั่งให้ช่างตีดาบปรับปรุงดาบให้ดีขึ้นกว่าเดิม ช่างตีดาบยุคแรกมีชื่อว่า อามากุนิเขาพัฒนาการตีดาบไม่ให้หักง่ายด้วยการใช้เหล็กที่ดี และมีการศึกษาวิธีทำให้เหล็กแข็งแกร่งกว่าเดิม เหล็กที่ดีของญี่ปุ่นได้จากการถลุง มีชื่อว่า ทามาฮากาเน่(Tamahagane)
อามากุนิพบว่า.การที่จะให้ได้ดาบคุณภาพดีต้องควบคุมของสามสิ่งคือ การควบคุมความเย็น, การควบคุมปริมาณคาร์บอน และการนำสิ่งปะปนที่อยู่ในเหล็กออก ปริมาณคาร์บอนคือหัวใจสำคัญในการตีดาบ หากใส่คาร์บอนในเหล็กมากไปเหล็กจะเปราะ, ใส่น้อยไปเหล็กจะอ่อน จึงต้องใส่ในปริมาณที่พอเหมาะ เหล็กถูกนำมาหักแบ่งเป็นชิ้นเล็กวางซ้อนกันก่อนหลอม และนำไปตีให้เป็นเนื้อเดียวกัน หลังจากนั้นจึงพับเหล็กเป็นสองชั้นขณะยังร้อนๆ แล้วตีซ้ำอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เหล็กจะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหมื่นๆ ชั้น ทำให้คาร์บอนกระจายไปจนทั่วเนื้อเหล็ก แล้วจึงนำไปตีแผ่ออกให้เป็นใบดาบจะได้ใบดาบที่ดีเนื้อเหล็กแกร่งและคมไม่หักอีกต่อไป แต่...นี่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นดาบที่สุดยอด สี่ร้อยปีผ่านมาเข้าสู่สมัย
คามาคูระ (Kamakura Period) ราวปี พ.ศ. ๑๗๓๕-๑๘๗๙ จักรพรรดิบอกให้ช่างตีดาบศึกษาวิธีการตีเหล็กจากยุคโบราณ
ยุคนี้ถือเป็นจุดเริ่มยุคทองของดาบซามูไร มีการพัฒนาดาบให้ดีขึ้นกว่าเดิมเมื่อกว่า ๔๐๐ ปีก่อน ถือเป็น เทคนิคที่สุดยอดของดาบ มีการเพิ่มวิธีการผสมเหล็กสองชนิดเข้าด้วยกัน เหล็กที่มีความแข็งจะมีปริมาณคาร์บอนสูงใช้ทำเป็นตัวดาบ และเหล็กอ่อนที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำใช้ทำเป็นไส้ดาบเพื่อให้ยืดหยุ่นจากเหล็กสองชนิดที่ถูกนำมาพับและตีมากกว่าสิบชั้น ทำให้เกิดชั้นเล็กๆ เป็นทวีคูณเป็นหมื่นชั้นช่างตีดาบจะพับเหล็กแข็งให้เป็นรูปตัว U และนำเหล็กอ่อนมาวางไว้ตรงกลางเพื่อทำเป็นไส้ใน แล้วนำไปหลอมและตีรวมกันใหแผ่ออกเป็นใบดาบ จากนั้นนำไปหลอมในอุณหภูมิที่เหมาะสมซึ่งมากกว่า ๗๐๐
องศาเซลเซียส แล้วจึงนำมาแช่น้ำเย็น การแช่น้ำต้องระมัดระวังมาก หากแช่ไม่ดีดาบจะโค้งเสียรูป เหล็กที่มีความแข็งต่างกันเมื่อทำให้เย็นทันทีจะหดตัวต่างกัน ถือเป็นเคล็ดลับที่ทำให้ใบดาบโค้งได้รูปตามธรรมชาติดาบสามารถฟันคอขาดได้เพียงครั้งเดียว บาดแผลที่ได้รับจากดาบจะเจ็บปวดมากซามูไรยังต้องเรียนรู้การใช้ดาบอย่างช่ำชองว่องไวและคล่องแคล่วให้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจากความสามารถนี้เองทำให้ซามูไรเพียงคนเดียวสามารถสังหารศัตรูที่รายล้อมตนกว่าสิบคนได้ภายในชั่วพริบตาด้วยดาบเพียงเล่มเดียวแต่ประเพณีการต่อสู้ของชนชั้นซามูไรคือการต่อสู้ ตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทด้วยดาบ ผู้แพ้ที่ยังมีชีวิตอยู่คือผู้ที่ไร้เกียรติ ซามูไรจึงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ การฆ่าตัวตายอย่างสมเกียรติด้วยการทำ เซปปุกุคือเกียรติยศของซามูไร
เดือนพฤศจิกายนปี พ.ศ. ๑๘๑๗ ชาวมองโกลของกุบไลข่านบุกญี่ปุ่นที่อ่าวฮากาตะ ด้วยกองทัพเรือ ๘๐๐ลำ และกองพลสามหมื่นนาย เหล่าซามูไรต้องการจะสู้กันตัวต่อตัวอย่างมีมารยาทเยี่ยงสุภาพบุรุษกับนักรบระดับผู้นำ แต่ไม่ได้ผล พวกซามูไรต้องปะทะสู้ที่ชายหาดกับฝูงธนูอาบยาพิษและระเบิด เป็นสงครามที่ไม่มีระเบียบและตกเป็นรอง พายุไต้ฝุ่นช่วยทำลายกองเรือของชาวมองโกลจนหมดสิ้น การรบครั้งแรกเหมือนการหยั่งเชิงของชาวมองโกลเพื่อดูกำลังของศัตรูอีกเจ็ดปี
ต่อมาพวกมองโกลกลับมาอีกครั้งด้วยกองเรือ ๔,๐๐๐ ลำ กองทหารอีกสองแสน พวกซามูไรรบพุ่งกับลูกธนูอย่างกล้าหาญ พวกเขาตัดเรื่องมารยาททิ้งไป ตกกลางคืนเหล่าซามูไรพายเรือลอบเข้าโจมตีพวกมองโกลประชิดตัวด้วยการใช้ดาบที่ช่ำชอง ดาบทหารมองโกลไม่มีทางสู้ดาบซามูไรได้เลยระหว่างสงครามพายุไต้ฝุ่นก็ทำลายกองเรือของมองโกลอีกครั้ง กองเรือสองในสามจมไปกับทะเลพายุ,ทหารมองโกลจมน้ำตายนับหมื่น พวกที่ว่ายน้ำเข้าฝั่งก็ตายด้วยคมดาบอย่างหมดทางสู้ ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเมืองนี้ถูกปกป้องจากพระเจ้า และตั้งชื่อลมพายุนี้ว่า กามิกาเซ่ (Kami-Kaze) หมายถึงลมศักดิ์สิทธิ์หรือลมผู้หยั่งรู้ หลังจากนั้นพวกมองโกลก็ไม่ได้กลับมาตีญี่ปุ่นอีกเลยหลังจากสงครามสิ้นสุด บ้านเมืองอยู่ในความสงบ พบว่าหลังจากการรบที่ผ่านมาดาบมักจะบิ่น จักรพรรดิจึงบอกให้ช่างตีดาบหาวิธีแก้ไข ช่างตีดาบที่สร้างสมดุลของความแข็งและความอ่อน
ของเหล็กและพัฒนาโครงสร้างของดาบออกเป็นเหล็กสามชิ้น คือ มาซามูเน่ (Masamune) ราวปี พ.ศ. ๑๘๔๐ ดาบของมาซามูเน่ถือเป็นดาบที่พัฒนาถึงขั้นสูงสุด ในญี่ปุ่นไม่มีช่างตีดาบคนใดจะเทียบได้ เขาสร้างความสมดุลของความแข็งของคมดาบ เคล็ดลับการทำดาบคือการผสมเหล็กสามชนิดเข้าด้วยกัน เหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนสูงจะใช้เป็นใบดาบ
ด้านข้างที่เรียกว่า Gawa-gane และด้านคมดาบ (Ha-gane) ใช้เหล็กที่แข็งมากโดยผ่านการพับและตีถึง๑๕ครั้งซึ่งสามารถสร้างชั้นของเหล็กที่ซ้อนกันถึง ๓๒,๗๖๘ ชั้น ทำให้เหล็กเหนียวและแกร่งมากกว่าส่วนอื่นๆ ส่วนเหล็กที่มีปริมาณคาร์บอนต่ำจะใช้เป็นส่วนไส้ใน (Core Steel) ทำให้มีความยืดหยุ่นเรียกว่า Shi-gane แล้วนำไปหลอมที่อุณหภูมิประมาณ ๘๐๐ องศาเซลเซียสให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วจึงนำมาตีแผ่ออกเป็นใบดาบ ช่างตีดาบคนอื่นๆ เริ่มเลียนแบบในเวลาต่อๆ มา
ช่างตีดาบในยุคเดียวกันที่มีชื่อเสียงเทียบเคียงมาซามูเน่ คือ มารามาซะ กล่าวกันว่าใครที่มีดาบของมารามาซะ ไว้ครอบครองเลือดจะสูบฉีดให้อยากที่จะชักดาบออกมาสังหารคู่ต่อสู้เพราะความคมของมันในขณะเดียวกันซามูไรที่ครอบครองดาบของ มาซามูเน่ กลับสงบนิ่งเยือกเย็นดาบญี่ปุ่นเริ่มเข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาช่วงสมัยเอโดะ (พ.ศ. ๒๑๔๖-๒๔๑๐) จากการติดต่อค้าขาย ญี่ปุ่นนำพัดและดาบเข้ามาในอยุธยา
โดยเฉพาะดาบมีความสำคัญต่อพระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางในราชสำนักสยามแต่งตัวในชุดเต็มยศห้อยดาบเข้าพิธีสำคัญๆ ต่างๆ ในพระราชสำนัก อีกทั้งหนึ่งในห้าของ เบญจราชกกุธภัณฑ์ คือพระแสงขรรค์ชัยศรี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สูงสุดแห่งอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยสืบมาจนถึงปัจจุบันแม้แต่ดาบหรือกระบี่ของตำรวจและทหารในชุดเต็มยศของไทยในปัจจุบัน เรียกว่าดาบทหารม้า Parade Saber) ซึ่งได้รับอิทธิพลพื้นฐานมาจากดาบญี่ปุ่นทั้งสิ้นในสมัยอยุธยา ขณะที่ญี่ปุ่นต้องการสินค้าจากสยามเช่น ไม้กฤษณา, ไม้ฝาง, น้ำกุหลาบ, พริกไทย เป็นต้นมีการตั้งหมู่บ้านญี่ปุ่นในอยุธยาเมื่อมีชาวญี่ปุ่นมาอยู่เป็นจำนวนมากชาวญี่ปุ่นที่นับถือศาสนาคริสต์โดยลี้ภัยทางศาสนาและส่วนหนึ่งเป็นพวกซามูไรแตกทัพที่สูญเสียเจ้านายหรือที่เรียกว่า โรนิน (Ronin) แตกทัพจากสงครามเซกิงาฮาร่า ได้โดยสารเรือสำเภาที่กำลังจะเดินทางมาค้าขายยังชมพูทวีปและมาตั้งรกรากในประเทศสยามสิ่งสำคัญที่นำติดตัวมาด้วยก็คือดาบญี่ปุ่นซามูไรเหล่านี้ได้กลายเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นในเวลาต่อมา ดาบทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีชื่อเรียกว่า Gunto เป็นดาบที่ถูกผลิตขึ้นระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๑๑ และสิ้นสุดการผลิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งถือว่าเป็นยุค Modern เป็นดาบที่ทำเพื่อการสงคราม ผลิต จำนวนมากยังคงความคมกริบ แต่ไม่ประณีต และไม่มีขั้นตอนการทำอย่างประเพณีโบราณ ดาบรุ่นนี้ตกค้างอยู่ในแถบอินโดจีนจำนวนมากหลังจากสงครามสิ้นสุด ซึ่งอาจจะพบได้ในประเทศพม่าและประเทศไทย ถูกฝังดินอยู่กลางป่าหรือในถ้ำตามเส้นทางเดินทัพของทหารญี่ปุ่นดาบยุคสงครามจะเป็นดาบที่ใช้ฝักทำด้วยเหล็กมีห่วงทองเหลืองหรือทองแดงเรียกว่า โอบิ-โทริ ใช้สำหรับห้อยกับเข็มขัดตัวดาบและฝักเหล็กมีน้ำหนักมาก จึงไม่เหมาะที่จะใช้เหน็บเอวอย่างดาบฝักไม้แบบโบราณซึ่งมีห่วงผูกเงื่อนที่ทำจากผ้าไหมใช้เหน็บเอวของซามูไร ดาบทหารที่ไม่มีขั้นตอนการผลิตในแบบพิธีกรรมโบราณจึงไม่มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างดาบของพวกซามูไรส่วนพิธีกรรมโบราณนั้นมีขั้นตอนมากมายและถือเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ช่างตีดาบต้องถือศีลกินเจในขณะที่หลอมเหล็ก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร เพื่อผลิตดาบให้เป็นมงคลแก่ผู้เป็นเจ้าของดาบเล่มนั้นๆ ดาบคล้ายกับเครื่องลางของขลัง หรืออย่างพระเครื่องของคนไทยที่ปลุกเสกจากเกจิอาจารย์ดังช่างตีดาบและลูกมือจะร่วมมือกันทำดาบเพียงหนึ่งเล่มในระยะเวลามากกว่าเดือน ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าช่างตีดาบที่ดีจะทำดาบที่ดีออกมา หากช่างตีดาบมีจิตใจไม่ดีดาบที่ตีออกมาก็จะไม่ดีไปด้วย ดาบแต่ละเล่มจึงมีราคาไม่เท่ากัน กล่าวกันว่า...บางเล่มราคามากกว่าที่ดินหนึ่งผืน หรือดาบที่ดีเพียงเล่มเดียวอาจจะมีราคาสูงกว่าหอกสามร้อยเล่มในสมัยโบราณดาบจึงไม่ใช่อาวุธที่สามารถจะซื้อมาใช้ในกองทัพได้ นอกจากเป็นสมบัติส่วนตัวของเหล่าซามูไรเท่านั้น...........