หมดแล้ว พระนางจามเทวี สูง12.5 นิ้ว แร่น้ำพี้
หมด
พระนางจามเทวี
สูง12นิ้วครึ่ง กว้าง3นิ้วครึ่ง
หล่อจากแร่ศักดิ์สิทธิ์ แร่น้ำพี้ จ.อุตรดิตถ์
สีน้ำตาล (สีแร่น้ำพี้ธรรมชาติ)องค์ละ 699 บาท
สีดำ สีทองคำ สีเงิน สีนาค องค์ละ 799 บาท
สีดำด้านแต่งทรงสีทองคำ สีเงิน (งานฝีมือใช้เวลา) องค์ละ 899 บาท
ประวัติพระนางจามเทวี
พระนางจามเทวี เป็นสตรีซึ่งปรากฏพระนามในเอกสารต่างๆ ซึ่งระบุว่าทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรหริภุญชัย อันเป็นอาณาจักรโบราณในภาคเหนือของประเทศไทยปัจจุบัน
ตำนานต่างๆ ที่กล่าวถึงพระองค์ระบุศักราชไว้ไม่ตรงกัน ปรากฏบันทึกและการสอบศักราชโดยบุคคลต่างๆ เช่น
- หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ระบุว่าทรงครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1205 อยู่ในราชสมบัติ 7 ปี
- มานิต วัลลิโภดม สอบค้นว่าประสูติเมื่อ พ.ศ. 1166 ครองราชย์ พ.ศ. 1205 ครองราชย์อยู่ 17 ปี สิ้นพระชนม์ พ.ศ. 1258 รวมพระชันษาได้ 92 ปี
- ตำนานพระนางจามเทวีฉบับแปลและเรียบเรียงโดย นายสุทธวารี สุวรรณภาชน์ ระบุว่าประสูติเมื่อ พ.ศ. 1176 ครองราชย์ พ.ศ. 1202 สละราชสมบัติ พ.ศ. 1231 และสวรรคต พ.ศ. 1274
ชาติกำเนิดของพระองค์นั้น ในตำนานจามเทวีวงศ์และตำนานมูลศาสนากล่าวว่าทรงเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งกรุงละโว้ แต่ตำนานมุขปาฐะพื้นบ้านแห่งหนึ่งกล่าวว่า พระองค์เป็นธิดาของคหบดีชาวหริภุญชัยซึ่งมีเชื้อสายชาวเมง (ตำนานเรียกว่า เมงคบุตร) อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปัจจุบันเป็นหมู่บ้านหนองดู่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน พระนางจามเทวีเมื่อแรกประสูติไว้ว่าตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง พ.ศ. 1176 เวลาจวนจะค่ำ ขณะเมื่อพระนางยังมีพระชนม์ได้ 3 เดือนนั้น มีนกยักษ์ตัวหนึ่งโฉบเอาพระนางขึ้นไปบนฟ้า เมื่อนกนั้นบินผ่านหน้าสุเทวฤๅซึ่งบำเพ็ญตบะอยู่ ณ เขาอุจฉุตบรรพต (แปลว่าเขาไร่อ้อย เชื่อว่าคือดอยสุเทพในปัจจุบัน) ท่านจึงได้แผ่เมตตาจิตให้นกนั้นปล่อยทารกน้อยลงมา แล้วรับเอาเด็กนั้นเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมทั้งตั้งชื่อให้ว่า นางวี ด้วยถือเอานิมิตที่พระฤๅษีใช้พัด (ภาษาถิ่นเรียกว่า "วี") รองรับพระนางเนื่องจากพระฤๅษีอยู่ในสมณเพศ ไม่อาจถูกตัวสตรีได้ ต่อมาพระนางได้ร่ำเรียนสรรพวิชาการต่างๆ จากสุเทวฤๅษี
ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้ผูกดวงและตรวจสอบชะตา ทราบว่ากุมารีผู้เป็นบุตรบุญธรรมของท่านจะมีวาสนาเป็นถึงจอมกษัตริย์ ปกครองบ้านเมืองอันใหญ่โตซึ่งจะรุ่งเรืองไปในภายภาคหน้า จึงตกลงใจว่าจะต้องส่งเด็กหญิงไปสู่ราชสำนักเพื่อรับการอภิเษกขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ให้สมควรแก่การที่จะได้เป็นใหญ่ต่อไป และที่เหมาะสมในสายตาท่านฤๅษีคือ ราชสำนักแห่งกรุงละโว้ ซึ่งเป็นราชสำนักที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่งในสุวรรณภูมิเวลานั้น[2]
จนกระทั่งเมื่อพระนางมีพระชนมายุได้ 13 พรรษา ท่านสุเทวฤๅษีจึงได้เนรมิตแพขึ้น ส่งกุมารีน้อยล่องไปตามน้ำจากเมืองเหนือ โดยพญากากะวานรและบริวารจำนวน ๓๕ ตัวโดยสารแพไปด้วย อีกทั้งยังฝากหนังสือไปฉบับหนึ่งเพื่อกราบทูลพระเจ้ากรุงละโว้ (ลวปุระ) ว่ากุมารีน้อยนี้จะไปช่วยละโว้ประหารศัตรู เด็กหญิงและวานรทั้งหลายล่องตามลำน้ำไปเป็นเวลานานหลายเดือนจึงเข้าสู่เขตกรุงละโว้ ประชาชนชาวละโว้สองฝั่งลำน้ำได้โจษขานถึงแพเล็กๆ นี้ด้วยความประหลาดใจครั้นถึงท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคล แพเนรมิตก็มิได้ล่องตามน้ำต่อไปกลับลอยวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ประชาพลเมืองได้เห็นต่างโจษขานกันอึงคนึง บ้างก็เข้าไปพยายามดึงนาวาเข้าฝั่ง แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ชาวบ้านเห็นเหตุเป็นอัศจรรย์และต่างพากันชื่นชมเด็กหญิงซึ่งมีผิวพรรณผุดผ่องน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ความทราบถึงบรรดาขุนนาง จึงได้ไปตรวจดูที่ฝั่งน้ำ เห็นความจริงประจักษ์แก่ตาจึงรีบกลับเข้าพระราชวังกราบบังคมทูล พระเจ้าจักวัติ ผู้ครองกรุงละโว้ ให้ทรงทราบทันที
เจ้าแผ่นดินกรุงลวปุระได้เสด็จไปยังท่าน้ำหน้าวัดชัยมงคลพร้อมด้วยมเหสีในทันทีนั้น เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นความเป็นไปทั้งหมด พระองค์ทรงมีรับสั่งให้ทหารที่ตามเสด็จชะลอแพเนรมิตเข้าสู่ฝั่ง แต่เหตุการณ์อันไม่มีใครคาดคิดก็บังเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กำลังของเหล่าทหารแห่งกรุงลวปุระไม่อาจชักลากแพเข้าสู่ท่าน้ำได้ ไม่ว่ากษัตริย์จะมีพระบัญชาให้เพิ่มจำนวนทหารมากขึ้นสักเท่าใดก็ตาม การณ์อันเป็นไปโดยอัศจรรย์ดังนี้ ทำให้เจ้าแผ่นดินทรงประจักษ์แจ้งแก่พระปรีชาญาณว่า กุมารีแรกรุ่นในท่ามกลางฝูงวานรบนแพนี้คงจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากมาย และแพนั้นก็คงจะเป็นแพวิเศษที่สามัญชนจะไปแตะต้องมิได้ พระองค์จึงเสด็จจากที่ประทับพร้อมด้วยพระมเหสีและทรงยึดเชือกที่ผูกแพนั้นไว้ด้วยพระหัตถ์ของทั้งสองพระองค์[2]
และแล้วเหตุอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้นอีกเป็นคำรบสาม พระเจ้ากรุงลวปุระและพระมเหสีเพียงแต่ทรงชักเชือกนั้นด้วยแรงเฉพาะสองพระองค์ แพวิเศษก็ลอยเข้าสู่ท่าน้ำได้โดยง่าย และดูราวกับเทพยดาฟ้าดินจะทรงอำนวยพรให้แก่ประพฤติเหตุอันอัศจรรย์นี้ เพราะเมื่อแพวิเศษลอยเข้าเทียบท่าน้ำ ได้มีฝนโปรยปรายเป็นละอองบางเบา ยังความสดชื่นแก่ทุกคนในที่นั้น ประชาชนทั้งสองฝั่งลำน้ำได้เห็นต่างก็พากันชื่นชมพระบารมีของทั้งสองพระองค์ และสรรเสริญบุญญานุภาพของกุมารีน้อยไปทั่วทั้งพระนคร
พระเจ้ากรุงละโว้และพระมเหสีได้รับกุมารีน้อยไว้ด้วยความเสน่หาอย่างยิ่ง พระมเหสีนั้นถึงกับเสด็จเข้าไปสวมกอดและจุมพิตกุมารีตั้งแต่แรกขึ้นสู่ฝั่ง พระเจ้ากรุงละโว้ผู้เต็มไปด้วยความปิติในพระหฤทัยได้ทรงน้ำกุมารีผู้น่ารักขึ้นประทับบนราชรถ และต่างพากันเสด็จเข้าสู่ราชสำนักกรุงละโว้ท่ามกลางประชาชนที่มาเฝ้าชมพระบารมีสองข้างทางด้วยความชื่นชมยินดีโดยทั่วหน้าและได้ตั้งพระนามให้ใหม่ว่า พระนางจามเทวี[6]
บูชาพระนางจามเทวี ของร้านวรันณ์ธรนี้ สร้างจากมวลสาร 9 อย่าง ของขลังหายากมีให้บูชาที่ร้านวรันณ์ธร แห่งเดียวใน จ.อุตรดิตถ์
1. หินเพชรเงินทองนาค ความเชื่อให้โชคลาภร่ำรวยเงินทอง
2. ไม้พญางิ้วดำ ความเชื่อเด่นทางด้านมหาอุดคงกระพัน คลาดแคล้วโชคลาภเมตตามหานิยมป้องกันคุณไสย์มนต์ดำ
3. ไม้กลายเป็นหิน ความเชื่อ มีตบะเดชะทางด้านอำนาจ แคล้วคลาด
ปลอดภัย ความเมตตา และโชคลาภ
4. เพชรหน้าทั่ง ความเชื่อให้โชคลาภเด่นทางค้าขายป้องกันภัยต่างๆ
5. แก้วโป่งข่าม ความเชื่อป้องกันภัยคุณไสย์มนต์ดำเปลี่ยนจากสิ่งร้ายกลายเป็นดี
6. แร่ดูดทรัพย์ ความเชื่อดูดโชคลาภทรัพย์สินเงินทองความร่ำรวยมาให้แก่ผู้ครอบครอง
7. ไหลดำไหลเขียว ความเชื่อพลิกจากร้ายกลายเป็นดีความเจริญมั่นคงก้าวหน้า
ดูดพิษแมลงได้ แก้ของร้อนเป็นสิริมงคลแก่ผู้ครอบครอง
8. รังปลวกกลายเป็นหิน ความเชื่อให้คุณทางด้านสะสมทรัพย์สินเงินทองให้พอกพูนขึ้น
9. แร่น้ำพี้ ความเชื่อล้างอาถรรพ์ป้องกันภูตผีปีศาจมนต์ดำต่างๆ
ราคาบูชาพระนางจามเทวีแร่น้ำพี้
สีน้ำตาล (สีแร่เหล็กน้ำพี้ธรรมชาติ)องค์ละ 699 บาท
สีดำ สีทองคำ สีเงิน สีนาค องค์ละ 799 บาท
สีดำด้านแต่งทรงสีทองคำ สีเงิน (งานฝีมือใช้เวลา) องค์ละ 899 บาท
การันตีว่า วัตถุมงคลที่ร้านวรันณ์ธรสร้างท่านลูกค้าบูชาไปได้วัตถุมงคลที่ดีอย่างแน่นอน เพราะสร้างจากมวลสารของขลังหายาก มวลสารศักดิ์สิทธิ์9อย่าง รวบรวมจากทั่วประเทศ
สอบถามทางร้านวรันณ์ธร เพื่อเลือกพระนางจามเทวี
สอบถามทางร้านวรันณ์ธร เพื่อเลือกพระนางจามเทวี
ต้องการบูชาพระนางจามเทวี
สีใด โปรดระบุ คลิกที่นี่